News & Articles

Office Syndrome เริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้นสำหรับคนยุคใหม่ในปัจจุบันนี้ เนื่องจากเป็นโรคที่มาจากการใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่ การ Work from Home ที่ทำให้ต้องนั่งอยู่หน้าจอเป็นเวลานาน รวมถึงการใช้ชีวิตกับเทคโนโลยีต่างๆในปัจจุบัน ออฟฟิศซินโดรม (Office Syndrome) คือ อาการปวดกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อพังผืด ซึ่งเกิดจากการทำงานที่ใช้กล้ามเนื้อมัดเดิมซ้ำๆ การนั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์นานๆ หรืออยู่ในท่าทางการทำงานที่ไม่เหมาะสมเป็นเวลานานอย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดกล้ามเนื้ออักเสบและปวดเมื่อย ส่วนใหญ่จะเกิดที่บริเวณคอ ไหล่ บ่า หลัง หรือแขน และใครกันบ้างที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงของโรคนี้ ? จากชื่อโรค ไม่ได้เพียงหมายถึงกลุ่มคนวัยทำงานเท่านั้น แต่ผู้ที่ต้องนั่งอยู่หน้าจอคอมเป็นเวลานาน รวมถึงผู้ที่ต้องใช้คอมพิวเตอร์ในการเรียนตั้งแต่อายุยังน้อย ออฟฟิศซินโดรมจึงสามารถเกิดขึ้นได้ในผู้ที่มีอายุ 20 ปีหรือน้อยกว่านั้น รวมถึงผู้สูงอายุที่มีการใช้เทคโนโลยีต่างๆ ก็ทำให้เกิดความเสี่ยงได้เช่นกัน ปวดแค่ไหนถึงปรึกษาแพทย์ ? หากคุณมีอาการปวดซ้ำๆบริเวณใดบริเวณหนึ่งนานๆ ปวดหลังเรื้อรังก็เป็นสัญญาณเตือนว่าควรรีบปรึกษาแพทย์ และเมื่อใดที่อาการปวดเพิ่มมากขึ้น แม้ไม่ได้ทำงานหรือเคลื่อนไหว ก็มีอาการเจ็บปวด พักแล้วไม่หาย และมีผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน แนะนำพบแพทย์โดยด่วน BluMed ได้ร่วมมือกับคลินิกทางการแพทย์ที่ญี่ปุ่น ในการให้คำปรึกษาและจัดการความเจ็บปวดอย่างเหมาะสม ตามอาการของแต่ละบุคคล สำหรับผู้ที่สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้ที่ Website : https://www.blue-assistance.co.th/blumed/ Line […]

ปวดเข่าเป็นอาการที่สามารถเกิดขึ้นได้จากสาเหตุหลากหลาย เช่น: การบาดเจ็บ: การบาดเจ็บที่เกิดขึ้นบริเวณเข่า เช่น การกระทำกิจกรรมกีฬาหรือกิจกรรมที่ใช้กำลังทำให้เกิดบาดเจ็บเช่น ระดับของการทำกิจกรรมมากเกินไป การตกหรือกระแทกที่ข้อเข่า โรคข้อเข่า: อาการปวดเข่าอาจเป็นเชิงเรื้อรังเกี่ยวกับโรคข้อเข่า เช่น โรคข้อเข่าเสื่อม (Osteoarthritis) หรือการอักเสบของเข่า การทำงานหนักหรือการใช้กำลังเกิน: การทำงานหนักหรือกิจกรรมที่ใช้กำลังในระยะเวลานานๆ อาจทำให้กล้ามเนื้อของเข่าอ่อนแรงหรืออักเสบ การบิดเข่า: การบิดเข่าอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการบาดเจ็บหรืออักเสบบริเวณเข่า ภาวะอื่นๆ: อาจมีสาเหตุจากภาวะอื่นๆ เช่น อาการปวดเข่าที่มาจากการทำงานในสภาพแวดล้อมที่ช่วยให้เกิดการเสี่ยงที่สูงขึ้น เช่น การนั่งทำงานตลอดเวลาหรือการยืนทำงานตลอดเวลา การรับรู้ปวดเข่าอย่างถูกต้องและการวินิจฉัยจะต้องพึงระวังถึงปัจจัยหลายๆ ปัจจัย เช่น ประวัติการบาดเจ็บ อาการร่วมอื่นๆ รวมถึงการตรวจร่างกายจากแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้สามารถทำการวินิจฉัยและรักษาโรคได้อย่างเหมาะสมและแม่นยำที่สุด หากคุณมีอาการปวดเข่า เราแนะนำให้ทำตามขั้นตอนเบื้องต้นต่อไปนี้ หมอสามารถรักษาอาการปวดเข่าโดยใช้วิธีการและการรักษาที่หลากหลายขึ้นอยู่กับสาเหตุของปัญหาที่ทำให้เกิดอาการปวดเข่า การรักษาปวดเข่าให้หายขาดจะขึ้นอยู่กับสาเหตุและความรุนแรงของปัญหาของแต่ละบุคคล ดังนั้น การรักษาที่เหมาะสมสำหรับคุณอาจแตกต่างกับการรักษาของบุคคลอื่น อย่างไรก็ตาม นี่คือวิธีการทั่วไปที่สามารถช่วยลดอาการปวดเข่าและส่งเสริมการหายของปัญหาได้การพักผ่อนและการฝังเข็ม: การพักผ่อนช่วงเวลาพอที่จะให้ร่างกายฟื้นตัวจากการใช้งานมากเกินไป และการฝังเข็ม (acupuncture) อาจช่วยในการลดอาการปวดเข่าและเสริมการหายของปัญหาได้ การฝึกฝนและกิจกรรมกายภาพ: โปรแกรมการฝึกฝนที่ได้รับการออกแบบโดยนักกายภาพบำบัดสามารถช่วยเสริมประสิทธิภาพของกล้ามเนื้อรอบข้อเข่าและลดอาการปวดได้ ซึ่งอาจรวมถึงการฝึกและยืดกล้ามเนื้อที่เกี่ยวข้องกับข้อเข่า การว่ายน้ำก็เป็นทางเลือกที่ดีเนื่องจากมีแรงต้านน้ำที่เหลืองที่ส่งผลต่อการหายของร่างกายและสามารถลดแรงกดที่ข้อเข่าได้ การใช้ยา: การใช้ยาต้านปวดเช่น พาราเซตามอล หรืออาจมีการใช้ยาต้านการอักเสบ เช่น อินฟลามาโตปรเซสเซอร์ (NSAIDs) […]

อาการปวดหลังเป็นอาการที่พบได้บ่อยในประชากรทั่วไป โดยเฉพาะหนุ่มสาววัยทำงานซะส่วนใหญ่ และสามารถเกิดขึ้นจากหลายสาเหตุต่างๆ สามารถที่พบเป็นประจำคือนั่งในท่าเดิมเวลานานๆสำหรับพนักงานออฟฟิต ส่งผลต่อสุขภาพของระบบกระดูกและกล้ามเนื้อของร่างกาย เมื่อเจออาการปวดหลัง การเข้าใจถึงสาเหตุ อาการ และวิธีการจัดการเบื้องต้นเป็นสิ่งสำคัญ ดังนั้น บทความนี้จะช่วยให้คุณได้รับความรู้เกี่ยวกับอาการปวดหลังอย่างละเอียดและเปิดโอกาสให้คุณมีแนวทางในการจัดการกับอาการนี้อย่างเหมาะสม อาการปวดหลังสามารถเกิดขึ้นจากหลายสาเหตุและปัจจัยต่างๆ ต่อไปนี้คือสาเหตุที่สำคัญที่อาจทำให้เกิดอาการปวดหลัง วิธีการรักษาอาการปวดหลังด้วยตนเอง พักผ่อน: ให้ร่างกายได้พักผ่อนอย่างเพียงพอ หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่อาจทำให้เกิดการบีบเส้นประสาทหรือเสียหลักและทำให้อาการปวดหลังมีการเพิ่มขึ้น ใช้ตำรับหรือหมอนที่เหมาะสม: หากปวดหลังเนื่องจากการนอนหรือท่าทางที่ไม่ถูกต้อง ลองใช้ตำรับหรือหมอนที่รองรับรูปร่างของร่างกายในท่าที่ถูกต้องเพื่อลดการกดของร่างกาย การประคบหรือใช้ประคบหลอดน้ำร้อน: การประคบด้วยน้ำอุ่นสามารถช่วยลดความเครียดของกล้ามเนื้อและเพิ่มการไหลเวียนของเลือด ทำให้รู้สึกผ่อนคลายและลดอาการปวดได้ การฝึกกล้ามเนื้อและยืดเหยียด: การฝึกกล้ามเนื้อและการยืดเหยียดสามารถช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อและยืดเส้นเอียงได้ ทำให้ร่างกายมีความยืดหยุ่นและลดการเกิดอาการปวดหลัง การดูแลระยะการนั่งและการยืน: หากคุณต้องทำงานโดยต้องนั่งหรือยืนเป็นเวลานาน ควรพยายามเปลี่ยนท่าทางในการนั่งหรือยืนอย่างสม่ำเสมอเพื่อลดการกดที่ของหลังและสะโพก การออกกำลังกายเบาๆ: การออกกำลังกายอย่างเบาๆ เช่น เดินเร็ว ยามเช้าหรืองานโยคะ สามารถช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อและลดการเกิดอาการปวดหลังได้ การใช้ยาแก้ปวด: การใช้ยาแก้ปวดที่ขายบรรจุในร้านขายยาได้โดยไม่ต้องรับคำแนะนำจากแพทย์ อย่างไรก็ตาม ควรอ่านคำเตือนและคำแนะนำการใช้งานของยาให้เข้าใจให้ดีก่อนใช้งาน คำเตือน: หากอาการปวดหลังไม่ดีขึ้นหรือมีอาการรุนแรง ควรพบแพทย์เพื่อการวินิจฉัยและการรักษาเพิ่มเติมที่เหมาะสม วิธีการรักษาโดยทีมแพทย์เฉพาะทาง การใช้เทคโนโลยีในการรักษาอาการปวดหลังมีหลายวิธีและเครื่องมือที่สามารถช่วยลดความเจ็บปวดและเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยได้ ต่อไปนี้คือบางตัวอย่าง: เครื่องอัลตราซาวด์ (Ultrasound): เครื่องอัลตราซาวด์สามารถใช้ในการพลิกเปลี่ยนความลึกของเส้นประสาทและกล้ามเนื้อ ช่วยให้มีการไหลเวียนของเลือดและน้ำเลือดที่ดีขึ้น ซึ่งอาจช่วยลดอาการปวดได้ เครื่องไฟฟ้ากระตุ้นสมอง (Transcutaneous Electrical Nerve Stimulation […]

โรคหลอดเลือด (Arteriosclerosis) เป็นสภาวะที่เกิดขึ้นเมื่อหลอดเลือดที่ขนานเป็นเลือด (Arteries) มีการตีกลับ ซึ่งทำให้เกิดความแข็งแรง การตีกลับนี้เกิดจากการสะสมของไขมัน คอเลสเตอรอล และวิตามิน ซึ่งเรียกว่า เลียนแบบการแน่นของตะไคร่ หรือ Plaque ในต้นเหตุที่พบมากที่สุดของโรคหลอดเลือดคือ โรคหลอดเลือดแดงใหญ่ (Coronary artery disease) ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของโรคหลอดเลือดในหัวใจ (Coronary heart disease) หรือกล้ามเนื้อหัวใจไม่ได้รับเลือดเพียงพอ (Myocardial ischemia) ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดอาการของอัมพาต เหมือนกับโรคหลอดเลือดในสมอง โรคหลอดเลือดอื่น ๆ ที่สามารถพบได้รวมถึงโรคหลอดเลือดในสมอง (Cerebrovascular disease) และโรคหลอดเลือดในขา (Peripheral artery disease) ซึ่งสามารถเกิดในแต่ละส่วนของร่างกายได้ โรคหลอดเลือดสามารถเป็นอันตรายถึงชีวิตหากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม ดังนั้นการป้องกันโรคหลอดเลือด ด้วยการรักษาสุขภาพที่ดี และการตรวจสุขภาพประจำปีเป็นสิ่งสำคัญในการลดความเสี่ยงการเป็นโรคนี้ลง หากคุณเสียหายต่อการไหลของเลือดหรือมีอาการของโรคหลอดเลือด เช่น อาการของโรคหลอดเลือดในหัวใจ (Coronary Artery Disease) หรือโรคหลอดเลือดในสมอง (Cerebrovascular Disease) คุณควรดำเนินการดังนี้: การรักษาโรคหลอดเลือดต้องเป็นการรักษาที่ครอบคลุมและมีการติดตามเพื่อรักษาสุขภาพหัวใจและหลอดเลือดในระยะยาว อย่างไรก็ตาม ข้อมูลและคำแนะนำที่ถูกต้องจะต้องได้รับจากแพทย์ที่เชี่ยวชาญในด้านนี้ ขั้นตอนทั่วไปในการรักษาโรคหลอดเลือด: […]

โรคสมองตีบ (Cerebral Atrophy) เป็นสภาวะที่เกิดขึ้นเมื่อมีการสูญเสียของเซลล์สมองและการลดขนาดของสมอง ซึ่งอาจส่งผลต่อความสามารถในการทำงานของสมอง เป็นที่รู้จักกันในชื่อโรค “สมองตีบ” โรคนี้มักพบได้ในผู้สูงอายุ และอาจเป็นผลมาจากการเสื่อมของสมองจากการตายของเซลล์สมองหรือการสลายลงของสารกลางระบบประสาทในสมอง สาเหตุอื่นๆ อาจเป็นเช่น โรคอัลไซเมอร์ การบาดเจ็บที่สมอง โรคประสาทอื่นๆ เป็นต้น โรคสมองตีบมักจะเริ่มแสดงอาการเมื่อสมองของผู้ป่วยเริ่มแสดงเฉลี่ยการทำงานลดลง อาการที่อาจพบได้รวมถึง ประสาทหย่อนลง เจ็บหน้าท้อง อาเจียน ปัสสาวะออกมาไม่ทัน มึนหัว หรือสมองตีบ การรักษาโรคสมองตีบมักเน้นไปที่การจัดการอาการและป้องกันการเสียเสมอของสมอง ซึ่งอาจรวมถึงการใช้ยาเพื่อควบคุมอาการ การฝึกทักษะใหม่ๆ เพื่อเสริมสร้างการเชื่อมต่อในสมอง และการปรับเปลี่ยนรูปแบบการดูแลสุขภาพอย่างระมัดระวัง หากคุณหรือคนที่คุณรักมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคสมองตีบ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับคำแนะนำและการรักษาที่เหมาะสม โรคสมองตีบ อาการของโรคนี้มักจะเป็นอาการที่เกิดขึ้นเป็นระยะๆ และอาจเป็นอาการที่ไม่แสดงออกเลยในระยะแรก อาการสามารถแสดงออกได้หลากหลายรูปแบบและมีความหลากหลายตามระดับความรุนแรงของโรค อาการที่พบบ่อยๆ โรคสมองตีบมักมีการเปลี่ยนแปลงอย่างลำบากและเร็วรับลม การวินิจฉัยและการรักษาขึ้นอยู่กับสาเหตุของโรคและอาการที่เจอบ่อยของผู้ป่วย หากมีความเสี่ยงในการเป็นโรคสมองตีบ ควรรีบพบแพทย์เพื่อการวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสมโดยเร็ว หากคุณหรือคนที่คุณรักมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคสมองตีบหรือมีอาการที่เกี่ยวข้องกับโรคนี้ คุณควรทำตามขั้นตอนต่อไปนี้ ขั้นตอนในการรักษาโรคสมองตีบ ขั้นตอนในการรักษาโรคสมองตีบมักจะมีหลายขั้นตอนและขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรค และความเสี่ยงต่อการเกิดโรคของแต่ละบุคคล ดังนั้น ขั้นตอนการรักษาอาจแตกต่างกันไป แต่ส่วนมากประกอบไปด้วยดังนี้: การลดความเสี่ยงต่อโรคสมองตีบเป็นสิ่งสำคัญที่สามารถทำได้ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพได้ดังนี้: ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ: การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคสมองตีบ โดยควรมีกิจกรรมทางกายภาพอย่างน้อย 30 นาทีต่อวันเช่น เดินเร็ว วิ่ง […]

“หลอดเลือดโมยา” เป็นคำศัพท์ทางการแพทย์ที่ใช้เรียกหรืออธิบายถึงเส้นเลือดที่เล็กมากหรือแคบเฉียบพลัน โดยที่อาจเป็นผลมาจากการตีความอาการหรืออาการที่เกิดขึ้นเมื่อมีปัญหาในระบบหลอดเลือด อย่างเช่น อาการของการตีบหรือการตีน้ำตาลในหลอดเลือดที่ขนาดเล็ก เป็นต้น หรือเช่นการปิดตัวของหลอดเลือดหรืออุปสรรคในการไหลของเลือดที่ทำให้เลือดไม่สามารถไหลผ่านได้เรียกกันว่า “หลอดเลือดโมยา” ซึ่งอาจเป็นอาการที่ร้ายแรงและต้องรักษาด่วน อาการของหลอดเลือดโมยาอาจแตกต่างไปตามสาเหตุและสถานะของผู้ป่วย อาการที่ผู้ป่วยอาจสัมผัสได้รวมถึงอาการตีบหรือปวด ผู้ป่วยอาจรู้สึกปวดหรือตีบบริเวณที่เกิดปัญหาในหลอดเลือดโมยา อาจมีความรุนแรงตั้งแต่อ่อนไหวจนถึงรุนแรงขึ้นตามสภาวะของโรค ปัญหาการไหลของเลือด การปิดตัวของหลอดเลือดหรืออุปสรรคที่ทำให้เลือดไม่ไหลผ่านได้สามารถทำให้ผิดปกติในการไหลของเลือด อาจเป็นที่รู้สึกหายใจลำบาก มึนหัว หรืออาจเกิดอาการซึมเซา อาการผิดปกติทางสมอง: หากเลือดไม่ไหลผ่านไปถึงส่วนของสมองได้ เช่น อุปสรรคในหลอดเลือดสมอง อาจทำให้เกิดอาการเป็นหนองในสมอง อาการอัมพฤกษ์ หรืออาการสูญเสียสติ อาการผิดปกติในระบบอวัยวะอื่น ๆเช่น อาการเจ็บแน่นหน้าอก แนวโน้มในการเกิดอัมพฤกษ์หรือกล้ามเนื้อทำงานผิดปกติ เป็นต้น หากมีความสงสัยว่าเป็นหลอดเลือดโมยา ควรรีบพบแพทย์หรือบริการการดูแลทางการแพทย์เพื่อการวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสมในขณะที่อาการยังไม่รุนแรงมากขึ้น การรักษาที่เร็วรักษาที่ดีจะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะที่ร้ายแรงได้ลง หากมีความสงสัยว่าเป็นโรคหลอดเลือดโมยาหรือมีอาการที่สันนิษฐานว่าเป็นไปได้ คุณควรทำตามขั้นตอนเหล่านี้: พบแพทย์เพื่อการวินิจฉัยและการรักษา: ควรนัดพบแพทย์โรคหัวใจและหลอดเลือดหรือสาธารณสุขในพื้นที่ของคุณเพื่อให้ได้การวินิจฉัยที่ถูกต้องและการรักษาที่เหมาะสม การทำการตรวจเพิ่มเติม: แพทย์อาจจะสั่งให้ทำการตรวจเพิ่มเติมเพื่อยืนยันการวินิจฉัย เช่น การทำการตรวจเลือด เอ็กโก หรือการตรวจภาพรังสี เป็นต้น การรักษา: การรักษาขึ้นอยู่กับสาเหตุของโรคและความรุนแรงของอาการ รูปแบบการรักษาอาจมีการใช้ยา เช่น ยาต้านอัตราการเต้นหัวใจ ยาลดความดันโลหิต หรือการผ่าตัดเพื่อแก้ไขปัญหาหรืออุปสรรคในหลอดเลือด การดูแลสุขภาพ: หลังจากการรักษา เพื่อป้องกันการกลับมาของโรคหรือภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ ควรปฏิบัติตามคำแนะนำจากแพทย์เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ […]